10 ต.ค. 2024
[สิงคโปร์ 10 ตุลาคม 2024] Data Center World Asia ซึ่งเป็นงานเทคโนโลยีที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี เมื่อวันที่ 9-10 ตุลาคม 2024 จัดขึ้นที่ Marina Bay Sands Expo and Convention Center งานที่ได้รับรางวัลนี้เชื่อมโยงผู้เชี่ยวชาญด้านศูนย์ข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และผู้นำทางธุรกิจกับผู้เชี่ยวชาญ โซลูชัน และบริการเพื่อเร่งแผนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ในงานนี้ Huawei Digital Power ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ลูกค้า และพันธมิตรมากกว่า 150 ราย เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล งานดังกล่าวตอกย้ำสถานะของ Huawei ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันศูนย์ข้อมูลชั้นนำ และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
Huawei Digital Power จัดแสดงโซลูชันสิ่งอำนวยความสะดวกศูนย์ข้อมูลที่ครอบคลุม โดยไฮไลต์สำคัญ ได้แก่ PowerPOD 3.0, ซึ่งเป็นโซลูชันแหล่งจ่ายไฟแบบบูรณาการที่ช่วยประหยัดพื้นที่ ประหยัดพลังงาน ประหยัดเวลา และไม่ต้องกังวล รวมถึง SmartLi โซลูชันแบตเตอรี่ลิเธียมที่มีความน่าเชื่อถือสูงพร้อมการป้องกัน 10 ชั้นสำหรับ 5 ระดับ (เซลล์ โมดูล แพ็ค ตู้ และระบบ) โซลูชันการระบายความร้อนแบบไฮบริดอากาศ-ของเหลวพร้อมหน่วยจ่ายความเย็น (CDU) และระบบระบายความร้อนแบบระเหยทางอ้อมที่ทำให้ไม่มีการหยุดชะงักในการระบายความร้อนเลยและตอบสนองความต้องการระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น และ FusionDC1000C ซึ่งเป็นโซลูชันศูนย์ข้อมูลแบบโมดูลาร์ที่สร้างสำเร็จซึ่งผสานรวมแหล่งจ่ายไฟ การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ และ O&M อัจฉริยะไว้ในที่เดียว
ซันเจย์ กุมาร ไซนานี รองประธานและซีทีโอระดับสากลของ Huawei Digital Power กล่าวปาฐกถาสำคัญเกี่ยวกับนวัตกรรมที่สนับสนุนการพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ยั่งยืนในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคการประมวลผลอัจฉริยะ หัวข้อของเขาคือ “ก้าวสู่ยุคการประมวลผลอัจฉริยะ ขับเคลื่อนยุคดิจิทัลไปข้างหน้า” ระบุว่า “ในยุคการประมวลผลอัจฉริยะ เราจำเป็นต้องใช้แนวทางการออกแบบแบบองค์รวมตั้งแต่ชิปไปจนถึงแร็คและอุปกรณ์ที่ครอบคลุม ซึ่งช่วยให้มีโซลูชันมาตรฐานสำหรับพลังงานและการระบายความร้อนที่เชื่อถือได้ ซ่อมบำรุงได้ และเหมาะสมสำหรับการใช้งานในระดับสูง”
ฟูฟางหยง ประธาน Huawei Data Center Facility และฝ่ายธุรกิจด้านพลังงานสำคัญประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวปาฐกถาสำคัญในหัวข้อ "ขับเคลื่อนยุคการประมวลผล AI ไปข้างหน้า” ในการนำเสนอของเขา เขาได้เน้นย้ำถึงศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยกล่าวว่า "ด้วยการนำแอปพลิเคชัน AIGC ไปใช้อย่างรวดเร็ว ความต้องการศูนย์ข้อมูลประสิทธิภาพสูงจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว" การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดความท้าทายมากมาย เช่น ความปลอดภัย มลพิษทางคาร์บอน และระยะเวลาที่เข้มงวดในการนำสินค้าออกสู่ตลาด ด้วยการเน้นที่หลักการพื้นฐานสี่ประการ ได้แก่ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ การระบายความร้อนที่ยืดหยุ่น พลังงานสีเขียว และความน่าเชื่อถือสูงสุด Huawei กำลังลงทุนอย่างไม่ลดละเพื่อสร้างระบบนิเวศแบบพึ่งพาอาศัยกันเพื่อตอบสนองความต้องการที่สูงของโครงสร้างพื้นฐาน AI-DC ในยุคการประมวลผลอัจฉริยะ
การอภิปรายกลุ่มในหัวข้อ "ศูนย์ข้อมูลภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก: "ก้าวแซงหน้าโลกหรือดิ้นรนเพื่อตามให้ทัน" ดำเนินรายการโดยเจมส์ เมอร์ฟีย์ กรรมการผู้จัดการของ DC Byte APAC ในงานเสวนามีผู้นำจากอุตสาหกรรมเข้าร่วม อาทิ ฟูฟางหยง ประธาน Huawei Data Center Facility ฝ่ายธุรกิจด้านพลังงานสำคัญประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก, โมซาน โททานิ รองประธานอาวุโสฝ่ายส่งมอบความจุศูนย์ข้อมูลที่ APJC โครงสร้างพื้นฐาน ADA, แมทธิว เบนิค หัวหน้าฝ่ายเชิงพาณิชย์ของแผนกศูนย์ข้อมูลและเครือข่าย Keppel, สฤธาร ปิณปุเรดดี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ CtrlS Datacenters และ โทบี้ สเตเปิลตัน รองประธานฝ่ายก่อสร้างของ NTT DATA การอภิปรายครั้งนี้ได้สำรวจสถานะปัจจุบันของศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การตรวจสอบความท้าทายและโอกาสในการเติบโต และให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าภูมิภาคนี้ยังคงสามารถแข่งขันได้ในภูมิทัศน์ระดับโลก
ด้วยความร่วมมือทางกลยุทธ์กับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกและองค์กรอุตสาหกรรม Huawei Digital Power จึงส่งมอบศูนย์ข้อมูลขนาด 15GW และมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคส่วนนี้ ในขณะที่อุตสาหกรรมศูนย์ข้อมูลพบกับการเติบโตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน Huawei Digital Power ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโซลูชันคอมพิวเตอร์อัจฉริยะที่ปลอดภัยมากขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความพยายามอย่างต่อเนื่องของ Huawei Digital Power ในการส่งเสริมความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและสนับสนุนนวัตกรรมยังคงช่วยกำหนดภูมิทัศน์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ซึ่งสร้างเวทีสำหรับอนาคตที่ชาญฉลาดและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
